วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2550

ประเด็นเกี่ยวกับหวัด

สวัสดีครับ ผมมีความยินดีที่จะได้แนะนำให้ทุกท่านได้รู้จักกับโรคหวัด
โรคหวัดนี่เป็นโรคที่ใครๆก็เคยเป็นและเคยได้รู้จักกันมาบ้างไม่มากก็น้อย
ถ้าหากเรารู้จักโรคหวัดดีๆ เราก็จะสามารถป้องกัน และดูแลตัวเองในคราวที่ต้องเป็นหวัดได้อย่างถูกต้อง ซึ่งทำให้ป่วยน้อยลง หายเร็วขึ้นด้วยครับ

สาเหตุ

โรคหวัดเกิดจากเชื้อไวรัสที่ลอยมาตามอากาศ มักจะระบาดมากในหน้าฝนและหน้าหนาว โดยการแพร่ระบาด จะมาจากผู้ป่วยที่มีอาการไอ จาม น้ำมูก เชื้อจะแพร่กระจายไปในละอองน้ำ ถ้าเราอยู่ในที่อากาศอับๆ ก็มีโอกาสที่จะติดหวัดได้ง่ายๆ ที่สิ่งที่น่ารู้ก็คือว่า สาเหตุของการติดหวัดส่วนใหญ่ เกิดจากการสัมผัสโดยตรงต่างหาก เช่น คนเป็นหวัดมีน้ำมูก เอามือที่เลอะน้ำมูกของตนไปจับลูกบิดประตู พอเราเข้าไปจับลูกบิดเช่นกันและเอามือนั้นมาขยี้ตาก็อาจเป็นหวัดได้ ดังนั้นการป้องกันหวัดที่ดีก็คือ "การล้างมือ"

อย่างไรก็ดี ไม่ใช่ทุกคนที่รับเชื้อจะต้องเป็นหวัด "เชื้อหวัดมักจะเป็นกับผู้ที่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงในช่วงนั้นพอดี" อาทิ นอนไม่พอ ตากฝน ตากแดด หรือไปอยู่ในที่ที่มีเชื้อค่อนข้างมาก และอากาศไม่ระบาย เช่น ในรถยนต์ ห้องแอร์ หรือ สถานที่ชุมนุมชน เช่น ผับ เธค โรงหนัง เหล่านี้จะเพิ่มโอกาสในการติดเชื้อให้มากขึ้น

อาการของโรคหวัด

อาการและระยะเวลาของการเป็นโรคหวัดเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ถ้าหากเราทราบข้อมูลตรงนี้ ก็จะคลายความกังวลเกี่ยวกับเรื่องโรคไปได้มากทีเดียว และช่วยให้เราปฏิบัติตัวได้ดีขึ้นอีกด้วย

อาการเตือน - อาการเริ่มต้นของการเป็นหวัด ในระยะนี้เป็นระยะที่มีความสำคัญ หากเราสามารถรู้ตัวได้ว่า จะเริ่มเป็นหวัด แล้วสามารถพักผ่อนร่างกาย รักษาตัวให้มีความอบอุ่น จากที่จะต้องเป็นหวัด ก็อาจจะไม่ต้องเป็นเลยก็ได้ อาการเตือนว่าจะเป็นหวัดมีดังนี้ครับ

1. จามหลายๆครั้ง แบบผิดสังเกต (นี่เพราะเชื้อโรคได้เข้ามาในเยื่อบุจมูกเราแล้ว แต่ยังไม่แบ่งตัว ร่างกายจะพยายามต่อต้านมัน โดยการทำให้เราระคายเคืองและจาม)

2. มีความรู้สึกเพลียๆ ไม่สบายเนื้อตัว อยากนอนอยู่ตลอดเวลา (แต่ไม่สามารถนอนได้ เพราะต้องทำงาน)

3. เรื่องของไข้ อาการของไข้อาจจะแสดงออกต่างๆกันไป เช่น บางคนก็ตัวร้อน บางคนก็ร้อนแต่กระบอกตา บางคนออกไปทางมึนๆงงๆศีรษะ บางคนปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ บางคนปวดกระดูก นี่คืออาการของไข้ทั้งสิ้น

4. ความรู้สึกว่า คอแห้ง แสบๆคอ นี่ก็เป็นอาการเตือนของโรคหวัดเหมือนกันครับ

อาการเตือนทั้งหมดที่กล่าวมานี้จะเป็นอยู่ประมาณ 1-2 วันเท่านั้น นี่คือโอกาสทองที่จะตัดสินว่า เราจะเป็นหวัดต่อไปหรือไม่ ในคนที่พักผ่อนได้ดี ดูแลตัวเองได้ดี ก็จะไม่เป็นหวัดครับ

อาการขั้นแรกของหวัด - มีน้ำมูกใส หยดติ๋งๆ ไม่เหนียวข้น น้ำมูกใสๆนี้จะเป็นอยู่แค่ 1-2 วัน หลังจากนั้นก็จะมีน้ำมูกน้อยลง เปลี่ยนเป็นแบบข้นๆขุ่นๆแทน

อาการขั้นที่สองของหวัด - ก็คือ ไอ มักจะเริ่มจากไอแห้งๆก่อน ไม่มีเสมหะ อาการไอนี้จะไอได้นานตั้งแต่ 7 วัน ไปจนถึงเป็นเดือนก็มี (โดยเฉพาะในสังคมเมืองกรุง ที่คนมีอาการภูมิแพ้ แพ้ง่าย การไอจะยาวนานมากกว่าปกติครับ)

การไอชนิดไม่มีเสมหะเป็นการไอแบบธรรมดาๆ เกิดจากการระคายของหลอดลมนิดหน่อย การหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้ไอ เป็นเรื่องที่น่ารู้ สิ่งที่ทำให้ไอมากขึ้น คือ ความเย็น (แอร์เย็นๆ น้ำเย็นๆ) อาหารมันๆทอดๆ อาหารหวานจัด ที่ที่มีฝุ่นละอองเยอะ เหล่านี้เป็นสิ่งกระตุ้นให้ไอมากขึ้น

การไอชนิดมีเสมหะ จัดเป็นปัญหาที่ต้องรักษาให้ถูกวิธี การไอมีเสมหะหมายถึงการไอเสียงดังก้อง (คล้ายกับจะขับอะไรในปอดออกมา) ไอเป็นชุดๆ (บทจะไอก็ไอติดต่อกันเยอะ บทจะไม่ไอ ก็ไม่ไอเอาเสียเลย) การเปลี่ยนตำแหน่งของร่างกาย เช่นจากนั่งเป็นนอน การตะแคงซ้ายตะแคงขวา จะทำให้เกิดอาการไอได้ (เพราะเสมหะไหลออกมา) การไอชนิดนี้นี่เอง ที่ต้องรักษาให้ถูกวิธี การกินยากดอาการไอ ไม่สามารถจัดการปัญหานี้ได้ เพราะเสมหะยังคั่งค้างอยู่ในปอด

หลุมพรางของการไออย่างนี้ก็คือ การที่เราไม่ได้กินน้ำอย่างเพียงพอ เพราะไม่ว่าจะกินยาละลายเสมหะดีอย่างไร แต่ถ้าหากร่างกายขาดน้ำ ก็ไม่สามารถละลายเอาเสมหะที่เหนียวข้นในปอดออกมาได้ (การสังเกตว่าตัวเองกินน้ำเพียงพอ ก็คือ การดูสีของปัสสาวะ ถ้าหากปัสสาวะสีเหลืองเข้ม แสดงว่า น้ำในร่างกายมีน้อยเกินไป ถ้าปัสสาวะสีอ่อนหน่อยจึงจะดี)

อย่างไรก็ดีในผู้ป่วยบางคนก็มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องไอมีเสมหะพอสมควร เนื่องจากการขับเสมหะทางธรรมชาติของเขาไม่ดีเท่าที่ควร อันนี้ก็ต้องปรึกษาคุณหมอนะครับ

อาการแทรกซ้อนของหวัด ก็คือ เชื้อแบคทีเรีย

ซึ่งจะทำให้เราเกิดภาวะคออักเสบขึ้น อาการที่ว่านี้คือเจ็บคอมาก กลืนน้ำลายเจ็บ คลำได้ก้อนที่มุมขากรรไกร เหล่านี้เป็นภาวะแทรกซ้อนที่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะรักษา ควรไปพบแพทย์เพื่อรับยาที่เหมาะสมกับความรุนแรงของเชื้อครับ ถ้าหากซื้อยามารับประทานเอง ก็ต้องพยายามกินให้ครบตามขนาด จะได้ไม่เกิดอาการดื้อยาขึ้น

ทั้งน้ำมูกและเสมหะ ในช่วงแรกๆจะเป็นสีใสๆ หรือขาวขุ่น แต่ถ้าหากมีเชื้อโรคที่ร่างกายกำจัดออกมาด้วยเสมหะจะเป็นสีเหลืองๆไปจนถึงสีเขียว นั่นหมายความว่าเชื้อโรคได้ตายแล้วและถูกกำจัดออกมา ความสำคัญก็คือว่าเราจะต้องพยายามขับเอาสิ่งเหล่านี้ออกจากร่างกายให้ได้โดยเร็ว เพราะหากเสมหะเขียวๆนี้ค้างในปอด ประมาณ 1-2 วันก็ทำให้เชื้อโรคในเสมหะเขียวๆนี้ฟื้นขึ้นมาใหม่ และเข้าไปทำให้เราป่วยอีก

สรุปคาถาของการดูแลเรื่องหวัด

  1. พักผ่อนให้มากกว่าปกติ เข้านอนให้เร็วขึ้น
  2. กินน้ำอุ่นมากๆ กินให้ปัสสาวะใสๆ จึงถือว่าเพียงพอ
  3. รักษาร่างกายให้อบอุ่น โดยเฉพาะรอบๆคอ ควรหาผ้ามาพันคอไว้
  4. คิดเผื่อคนอื่นๆ ถ้าไอหรือมีน้ำมูก ควรหาผ้ามาปิดปากเพื่อกันเชื้อแพร่กระจาย

ขอให้มีสุขภาพแข็งแรงครับ